อยากทราบว่ามีการใช้ clonidine ในการรักษาเด็กที่มีการขาด growth hormone หรือไม่คะ แล้วถ้ามีจะใช้ในขนาดเท่าไหร่คะ ขอบคุณค่ะ

คำตอบ

การขาด growth hormone ในเด็กนั้น จะแบ่งออกเป็น complete absence of growth hormone (ขาดฮอร์โมนแบบสมบูรณ์แบบ ร่างกายไม่สามารถหลั่ง growth hormone ได้เลย) จะทำให้พัฒนาการด้านเจริญเติบโตต่ำ (growth retardation) และ partial deficiency (ร่างกายยังคงหลั่งได้บ้าง) แบบหลังจะทำให้เกิดโรคสมาธิสั้นในเด็ก (short stature) ซึ่งค่าฮอร์โมนที่ได้จากการตรวจวัดผลตรวจทางห้องปฏิบัติการจะต้องต่ำกว่า 10 µg/L จึงจะถือว่า growth hormone deficiency การรักษาผู้ป่วยเด็กที่ขาดฮอร์โมนแบบสมบูรณ์แบบ จะให้ growth hormone therapy เป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันได้มีการนำ clonidine มาใช้รักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพราะมีบางการศึกษาสนับสนุนประสิทธิภาพของ clonidine ที่นำมาใช้ในเด็กที่มี growth retardation พบว่า clonidine สามารถเพิ่มอัตราเร็วของความสูง (height velocity) เมื่อเทียบกับยาหลอก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ growth hormone therapy ก็พบว่า clonidine เพิ่มอัตราเร็วความสูงได้น้อยกว่า อย่างไรก็ตามมีการศึกษาที่ศึกษาประสิทธิภาพของ clonidine เปรียบเทียบกับ growth hormone therapy โดยตรง ในผู้ป่วยเด็กที่มี growth hormone deficiency พบว่า clonidine ไม่สามารถเพิ่มอัตราการเจริญเติบโต (growth velocity) เมื่อเทียบกับ growth hormone therapy ในขณะที่ growth hormone therapy สามารถเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตในเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างดี (ประมาณ 8.2±1.3 cm/ปี) โดยการศึกษาทั้งสองใน clonidine ขนาด 0.1mg/m2 ดังนั้นการใช้ clonidine เพื่อรักษาภาวะ growth hormone deficiency ในเด็กนั้น ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนว่าสามารถเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตได้จริง ยังต้องอาศัยการศึกษาอื่นๆมายืนยัน ผู้ต้องการใช้ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอีกครั้ง

Reference:
1. Vance ML, Mauras N. Growth Hormone Therapy in Adults and Children. N Engl J Med 1999; 341:1206-16.
2. Volta C, Ghizzoni L, Muto G, Spaggiari R, Virdis R, Bernasconi S. Effectiveness of growth-promoting therapies. Comparison among growth hormone, clonidine, and levodopa. Am J Dis Child 1991; 145(2):168-71.
3. Allen DB. Effects of nightly clonidine administration on growth velocity in short children without growth hormone deficiency: A double-blind, placebo-controlled study. J Pediatr 1993;122:32-6.

Keywords:
-