หน่วยคลังข้อมูลยา
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

Men Who Use Erectile Dysfunction Drugs Have Higher Rates of STDs

ข่าวประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือน กรกฎาคม ปี 2553 -- อ่านแล้ว 1,645 ครั้ง
 
สำหรับผู้ชายที่มีการใช้ยาในข้อบ่งใช้สำหรับ erectile dysfunction (ED) นั้นพบอัตราการเกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted diseases; STD) สูงขึ้นด้วย โดยพบทั้งก่อนการใช้ยา1 ปีและเกิดหลังการใช้ยา 1 ปี

จาก cohort study ซึ่งเป็นการศึกษาแบบย้อนหลังและตีพิมพ์ลงในวารสาร Annals of Internal Medicine นั้นพบว่า ส่วนใหญ่มีการใช้ยาสำหรับ ED ในผู้ป่วยวัยกลางคนและวัยชรา โดยกิจกรรมทางเพศที่มากขึ้นในกลุ่มคนที่ใช้ยานี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ตามมา จึงมีการเข้าไปดูในส่วนข้อมูลส่วนตัวสำหรับการอ้างเอาประกันภัยจาก 44 บริษัทประกันภัยใหญ่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 ถึง 2006 โดยดูอัตราการเกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STDs)ในผู้ชาย 1,410,806 คนที่มีการใช้และไม่ใช้ยาสำหรับ ED จำนวน 33,968 คน และ 1,376,838 คนตามลำดับ

ในระหว่างปีก่อนที่เริ่มใช้ยาและหลังการใช้ยา ED พบว่าผู้ชายกลุ่มที่ใช้ยามีอัตราการเกิดโรค STDs มากกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ยา Odds ratio (OR) สำหรับผู้ที่ใช้ยา ED และเป็น STDs เท่ากับ 2.80 (95% confidence interval [CI], 2.10 - 3.75) ในปีก่อนเริ่มใช้ยา และ OR = 2.65 (95% CI, 1.84 - 3.81) ในปีหลังเริ่มใช้ยา

นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการเกิดโรค STDs เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี โดยมากกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ยา 3.32 เท่า (95% CI, 2.38-4.36) และ 3.19 เท่า(95% CI, 2.11-4.83) ในปีก่อนเริ่มใช้และหลังใช้ยาตามลำดับ

จากการศึกษาดังกล่าวสรุปได้ว่า ผู้ชายที่ใช้ยา ED มีอัตราการเกิดโรค STDs สูงขึ้นโดยเฉพาะการติดเชื้อเอชไอวี จึงมีการตกลงและหารือกันในเรื่องของการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และเพิ่มการคัดกรองโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มเติมในกลุ่มที่ได้รับยา ED ด้วย

นอกจากนี้นายแพทย์ Thomas Fekete แห่งมหาวิทยาลัยฟิลาเดเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย ได้กล่าวถึงข้อจำกัดเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้นจากการศึกษานี้ เช่น การขาดข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศ การระบุการใช้ยา ED ที่ไม่ถูกต้อง และการประมาณการเกิดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ต่ำเกินไป และยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า \"จากมุมมองด้านสาธารณสุข กลยุทธ์การป้องกันที่ทำอยู่ในขณะนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ดีในกลุ่มวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด แต่การศึกษาล่าสุดนี้เตือนให้เราทราบว่าการให้คำปรึกษาเรื่องโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์นี้ไม่ควรหยุดอยู่ที่อายุ 40 ปี ควรแนะนำให้มีการปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เรื่องสุขภาพทางเพศและความปลอดภัยเพิ่มเติม และภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดก็คือการไม่มีกิจกรรมทางเพศนั่นเอง” ดังนั้นจึงเป็นการย้ำว่าการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศไม่ควรให้เฉพาะกลุ่มผู้ที่ได้รับยา ED ยาหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเพียงอย่างเดียว

 
ข่าวยาล่าสุด
    ดูข่าวยาทั้งหมด


หน่วยคลังข้อมูลยา

447 ถ.ศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
 
ออกแบบและพัฒนาโดย งานเทคโนโลยีสารสนเทศฯ คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
Copyright © 2013-2020
 
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เราใช้เทคโนโลยีคุกกี้เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง การเปิดให้ใช้คุณสมบัติทางโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าเว็บไซต์ของเรา การใช้งานเว็บไซต์ต่อถือว่าคุณยอมรับการใช้งานคุกกี้